สัปดาห์ที่ 4 ระบบการสอน
ระบบการสอนของ ADDIE
Model
หลักการออกแบบของ ADDIE model
มีขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นการวิเคราะห์ Analysis
2. ขั้นการออกแบบ Design
3. ขั้นการพัฒนา Development
4. ขั้นการนำไปใช้ Implementation
5. ขั้นการประเมินผล Evaluation
2. ขั้นการออกแบบ Design
3. ขั้นการพัฒนา Development
4. ขั้นการนำไปใช้ Implementation
5. ขั้นการประเมินผล Evaluation
ขั้นตอนการพัฒนา ADDIE model
ขั้นตอนการวิเคราะห์
(Analysis)
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การกำหนดหัวเรื่องและวัตถุประสงค์ทั่วไป
2. การวิเคราะห์ผู้เรียน
3. การวิเคราะห์วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
4. การวิเคราะห์เนื้อหา
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การกำหนดหัวเรื่องและวัตถุประสงค์ทั่วไป
2. การวิเคราะห์ผู้เรียน
3. การวิเคราะห์วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
4. การวิเคราะห์เนื้อหา
ขั้นตอนการออกแบบ
(Design)
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การออกแบบ Courseware (การออกแบบบทเรียน)
ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา แบบทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) สื่อ กิจกรรม วิธีการนำเสนอ และแบบทดสอบหลังบทเรียน (Post-test)
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การออกแบบ Courseware (การออกแบบบทเรียน)
ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา แบบทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) สื่อ กิจกรรม วิธีการนำเสนอ และแบบทดสอบหลังบทเรียน (Post-test)
2.
การออกแบบผังงาน (Flowchart) และการออกแบบบทดำเนินเรื่อง (Storyboard)(ขั้นตอนการเขียนผังงานและสตอรี่บอร์ดของ อลาสซี่)
3. การออกแบบหน้าจอภาพ (Screen Design)
การออกแบบหน้าจอภาพ หมายถึง การจัดพื้นที่ของจอภาพเพื่อใช้ในการนำเสนอเนื้อหา ภาพ และส่วนประกอบอื่นๆ สิ่งที่ต้องพิจารณามีดังนี้
1. การกำหนดความละเอียดภาพ (Resolution)
2. การจัดพื้นที่แต่ละหน้าจอภาพในการนำเสนอ 3. การเลือกรูปแบบและขนาดของตัวอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
4. การกำหนดสี ได้แก่ สีของตัวอักษร (Font Color) ,สีของฉากหลัง (Background) ,สีของส่วนอื่นๆ
5. การกำหนดส่วนอื่นๆ ที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้บทเรียน
3. การออกแบบหน้าจอภาพ (Screen Design)
การออกแบบหน้าจอภาพ หมายถึง การจัดพื้นที่ของจอภาพเพื่อใช้ในการนำเสนอเนื้อหา ภาพ และส่วนประกอบอื่นๆ สิ่งที่ต้องพิจารณามีดังนี้
1. การกำหนดความละเอียดภาพ (Resolution)
2. การจัดพื้นที่แต่ละหน้าจอภาพในการนำเสนอ 3. การเลือกรูปแบบและขนาดของตัวอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
4. การกำหนดสี ได้แก่ สีของตัวอักษร (Font Color) ,สีของฉากหลัง (Background) ,สีของส่วนอื่นๆ
5. การกำหนดส่วนอื่นๆ ที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้บทเรียน
ขั้นตอนการพัฒนา
(Develop) (ขั้นตอนการสร้าง/เขียนโปรแกรมและผลิตเอกสารประกอบการเรียน)
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การเตรียมการ การเตรียมการ เกี่ยวกับองค์ประกอบดังนี้
1.1 การเตรียมข้อความ
1.2 การเตรียมภาพ
1.3 การเตรียมเสียง
ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1. การเตรียมการ การเตรียมการ เกี่ยวกับองค์ประกอบดังนี้
1.1 การเตรียมข้อความ
1.2 การเตรียมภาพ
1.3 การเตรียมเสียง
1.4 การเตรียมโปรแกรมจัดการบทเรียน
2.
การสร้างบทเรียน หลังจากได้เตรียมข้อความ ภาพ เสียง และส่วนอื่น
เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการสร้างบทเรียนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดการ
เพื่อเปลี่ยนสตอรี่บอร์ดให้กลายเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3. การสร้างเอกสารประกอบการเรียน
3. การสร้างเอกสารประกอบการเรียน
หลังจากสร้างบทเรียนเสร็จสิ้นแล้ว ในขั้นต่อไปเป็นการตรวจสอบและทดสอบความสมบูรณ์ขั้นต้นของบทเรียน
ขั้นตอนการนำไปใช้
(Implement)
การนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ไปใช้ โดยใช้กับกลุ่มตัวอย่างมาย เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของบทเรียนในขั้นต้น หลังจากนั้น จึงทำการปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียน และนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมและประสิทธิภาพ
การนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ไปใช้ โดยใช้กับกลุ่มตัวอย่างมาย เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของบทเรียนในขั้นต้น หลังจากนั้น จึงทำการปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียน และนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมและประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการประเมินผล
(Evaluate)
การประเมินผล คือ การเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนแบบปกติ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็น 2 กลุ่ม เรียนด้วยบทเรียน ที่สร้างขึ้น 1 กลุ่ม และเรียนด้วยการสอนปกติอีก 1 กลุ่ม หลังจากนั้นจึงให้ผู้เรียนทั้งสองกลุ่ม ทำแบบทดสอบชุดเดียวกัน และแปลผลคะแนนที่ได้ สรุปเป็นประสิทธิภาพของบทเรียน
การประเมินผล คือ การเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนแบบปกติ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็น 2 กลุ่ม เรียนด้วยบทเรียน ที่สร้างขึ้น 1 กลุ่ม และเรียนด้วยการสอนปกติอีก 1 กลุ่ม หลังจากนั้นจึงให้ผู้เรียนทั้งสองกลุ่ม ทำแบบทดสอบชุดเดียวกัน และแปลผลคะแนนที่ได้ สรุปเป็นประสิทธิภาพของบทเรียน
ระบบการสอนของ ASSURE Model
หลักการออกแบบ ASSURE Model มีรายละเอียดดังนี้
1.Analyze learners การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน
2.State
objectives การกำหนดวัตถุประสงค์
3.Select
instructional methods, media, and materials การเลือก
ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อใหม่
4.Utilize media
and materials การใช้สื่อ
5.Require learner
participation การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน
6.Evaluate and
revise การประเมินการใช้สื่อ
1.Analyze learners (การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน)
การวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียน จะทำให้ผู้สอนเข้าใจลักษณะของผู้เรียนและสามารถเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน การวิเคราะห์ผู้เรียนนั้นจะวิเคราะห์ใน 2 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะทั่วไป เป็นลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน แต่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนโดยตรง ได้แก่ เพศ อายุ ชั้นปีที่เรียน ระดับสติปัญญา ความถนัด วัฒนธรรม สังคม ฯลฯ
2. ลักษณะเฉพาะ เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกวิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอน ได้แก่
2.1 ความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้เรียนในเนื้อหาที่จะสอน
2.2 ทักษะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ทักษะด้านภาษา คณิตศาสตร์ การอ่าน และการใช้เหตุผล
2.3 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จะสอนนั้นหรือยัง
2.4 ทัศนคติของผู้เรียนต่อวิชาที่จะเรียน
2.State
objectives (การกำหนดวัตถุประสงค์)
การเรียนการสอน ในแต่ละครั้งต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ซึ่งควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่กำหนดความสามารถของผู้เรียนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ในระดับใด และภายใต้เงื่อนไขใดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดขึ้นสำหรับการเรียนการสอนแต่ละครั้ง ควรให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทางการศึกษาทั้ง
3 ด้าน คือ
1. พุทธิพิสัย
เป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อวัดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ
สติปัญญา และการพัฒนา
2. จิตตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยมและการเสริมสร้างทางปัญญา
3. ทักษะพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการกระทำ
การแสดงออกหรือการปฏิบัติ
3.Select instructional
methods, media, and materials การเลือก
ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อใหม่
การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอนนั้น สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน
คือ
3.1การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว
เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอน ที่มีอยู่แล้วจากแหล่งต่างๆ
เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน
การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้วควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
- ลักษณะผู้เรียน
- วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
- เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน
- สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อการเรียนการสอนแต่ละชนิด
3.2การปรับปรุง หรือดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว
กรณีที่สื่อการเรียนที่มีอยู่แล้วไม่เหมาะสมกับการใช้ในการเรียนการสอน ให้พิจารณาว่าสามารถนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอนได้หรือไม่ ถ้าปรับปรุงได้ก็ให้ปรับปรุงก่อนนำไปใช้
3.3การออกแบบสื่อใหม่
กรณีที่สื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ไม่สามารถนำมาใช้ได้หรือไม่เหมาะสมที่จะนำมาปรับปรุงใช้
หรือไม่มีสื่อการเรียนการสอนที่ต้องการใช้ในแหล่งบริการสื่อการเรียนการสอนใดเลย
ก็จำเป็นต้องออกแบบและสร้างสื่อการเรียนการสอนขึ้นมาใหม่
4.Utilize media and
materials (การใช้สื่อ)
ขั้นตอนการใช้สื่อการเรียนการสอน มีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
1. ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อ
/ ทดลองใช้
ก่อนนำสื่อการเรียนการสอนใดมาใช้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการตรวจสอบเนื้อหาว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่
และทดลองใช้ดูว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทัน
2. เตรียมสภาพแวดล้อม
/ จัดเตรียมสถานที่
การที่จะใช้สื่อการเรียนการสอนจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก แสง การระบายอากาศ และอื่น
ๆ ให้เหมาะสมกับการใช้สื่อการสอนแต่ละชนิด
3. เตรียมผู้เรียน
ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการใช้สื่อการเรียนการสอนได้ดีนั้น จะต้องมีการเตรียม
ผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียนเรื่องนั้น ๆ โดย การแนะนำสิ่งที่จะนำเสนอ อาจจะเป็นเรื่องย่อ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น การเร้าความสนใจ หรือเน้นจุดที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนมีเป้าหมายในการฟังหรือดูสิ่งที่ผู้สอนนำเสนออันจะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีได้
4. การนำเสนอ
/ ควบคุมชั้นเรียน
ผู้สอนที่ทำหน้าที่ผู้เสนอสื่อการเรียนการสอนนั้น ในการนำเสนอควรปฏิบัติดังนี้
4.1 ต้องทำตัวเป็นตัวกลางที่จะทำให้การนำเสนอครั้งนั้นประสบความสำเร็จ
โดยการทำตัวให้เป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสมที่ติดเป็นนิสัย เช่น หักนิ้ว บิดข้อมือ กดปากกา พูดเสียง เอ้อ………อ้า…… เพราะจะทำให้ผู้เรียนสนใจ ท่าทางเหล่านี้แทน
4.2 ท่าทางการยืน ต้องยืนหันหน้าให้ผู้เรียน ถ้ายืนเฉียงก็ต้องหันหน้าหาผู้เรียนไม่ควรหัน ข้างหรือหันหลังให้ผู้เรียน
4.3 ขณะที่บรรยายนำเสนอสื่อการเรียนการสอนต้องสอดแทรกอารมณ์ขันบ้าง
4.4 ประเมินความสนใจของผู้เรียน
โดยใช้การกวาดสายตามองผู้เรียนให้ทั่วทั้งชั้นซึ่งเป็นการแสดงความสนใจผู้เรียน และวิเคราะห์สีหน้า ท่าทางของผู้เรียนไปพร้อมกัน
4.5 อย่าใช้เวลาเตรียมสื่อนานเกินไปจะทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
4.6 นำเสนอให้ถูกวิธีตามที่ได้มีการทดลองใช้มาก่อนแล้ว
5.Require learner
participation (การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน)
การใช้สื่อในการเรียนการสอนแต่ละครั้ง ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนให้มากที่สุด โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ตอบสนองโดยเปิดเผย
(overt respone) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน ( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ เมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที
เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่
โดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม
6.Evaluate and
revise (การประเมินการใช้สื่อ)
หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว จำเป็นต้องมีการประเมินผลกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดสิ่งที่ต้องประเมินได้แก่
- การประเมินผลกระบวนการเรียนการสอน จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนาวิธีการสอนและการใช้สื่อการเรียนในครั้งต่อ
ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การประเมินสื่อและวิธีการเรียนการสอน เพื่อให้ทราบว่าสื่อและวิธีการสอนที่ใช้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นหรือไม่
การประเมินผลสื่อการเรียนการสอนควรให้ครอบคลุม ด้านความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ด้านคุณภาพของสื่อ เช่น ขนาด รูปร่าง สี
ความชัดเจนของสื่อ
- การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด
ระบบการสอนของ Dick & Carey Model
Dick & Carey Model ประกอบ ดวย 10
ขั้นตอน
เริ่มตั้งแตการแยกแยะเปาหมายการเรียนการสอน และสิ้นสุดท ีขั้นตอนของการ
พัฒนาและสรุปการประเมิน ตามรายละเอียดดังนี้
1. แยกแยะเปาหมายของการเรียน (Identify
Instructional Goals)
ขัั้นตอนแรกเปนการ แยกแยะเปาหมายของบทเรียนเพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูตามที่ตองการ เปาหมายของการเรียน ในสวนนี้จะเกิดจากการวิเคราะหความตองการ
(Need Analysis) กอน แลวจึงกําหนดเปาหมาย ของการเรียน
โดยพิจารณาจากสวนตาง ๆ ดังตอไปนี้
1.1 รายละเอียดของเปาหมายของการเรียนที่มีอยู
1.2 ผลจากการวิเคราะหความตองการ
1.3 ขอจํากัดหรืออุปสรรคตาง ๆ
ในการเรียน
1.4 ผลจากการวิเคราะหผูเรียนคนอื่น
ๆ ที่เรียนจบแลว Revise Instruction Conduct Instructional Analysis
Identify Instructional Goals Identify Entry Behaviors Write Performance
Objectives Develop Instructional Strategy Develop Criterion Reference Test
Develop & Select Instructional Materials Develop & Conduct Formative
Evaluation Develop & Conduct Summative Evaluation การออกแบบระบบการสอน
2. วิเคราะหการเรียน (Conduct
Instructional Analysis) หลังจากไดเปาหมายของการ เรียนแลว ขั้นตอไปจะเปนการวิเคราะหเนื้อหาบทเรียนและวิเคราะหผูเรียน
เพื่อตัดสินวาความรู และทักษะใดที่จะทําใหผูเรียนบรรลุตามเปาหมายที่กําหนดไวประกอบดวยสวนตาง
ๆ ดังนี้
2.1 กําหนดสมรรถนะของผูเรียนหลังจากที่เรียนจบแลว
2.2 กําหนดขั้นตอนการนําเสนอบทเรียน
3. กําหนดพฤติกรรมของผูเรียนที่จะเขาเรียน
(Identify Entry Behaviors) เปนขั้นตอนที่จะพิจารณาวาพฤติกรรมใดที่จําปนของผูเรียนกอนที่จะเขาสูกระบวนการเรียนการสอนประกอบดวยสวนตาง
ๆ ดังนี้
3.1 การกําหนดความรูพื้นฐานและทักษะที่จําเปนสําหรับผูเรียน
3.2 คุณลักษณะที่สําคัญของผูเรียน
ในการดําเนินกิจกรรมทางการเรียนของบทเรียน
4. เขียนวัตถุประสงคของการกระทํา (Write
Performance Objectives)
ในที่นี้ก็คือการ เขียนวัตถุประสงคเชิงพฤติกรรมท
ี่ สามารถวัดไดหรือสังเกตไดของบทเรียนแตละหนวย ซึ่งผูเรียนจะตองแสดงออกในรูปของงานหรือภารกิจหลังจากสิ้นสุดบทเรียนแลว
โดยนําผลลัพธที่ไดจาก 3 ขั้นตอนแรกมาพิจารณา
ซึ่งวัตถุประสงคเชิงพฤติกรรมจะประกอบดวยสวนตาง ๆ ดังนี้
4.1 งานหรือภารกิจ (Task) ที่ผูเรียนแสดงออกในรูปของการกระทําหลังจบบทเรียน แลว
ซึ่งสามารถวัดหรือสังเกตได
4.2 เงื่อนไข (Condition) ประกอบงานหรือภารกิจนั้น ๆ
4.3 เกณฑ(Criterion) ของงานหรือภารกิจของผูเรียนที่กระทําได
5. พัฒนาเกณฑอางอิงเพื่อใชทดสอบ
(Develop Criterion Reference Tests)
เปนการกําหนดเกณฑมาตรฐานของบทเรียนที่ผูเรียนจะตองทําไดหลังจากจบบทเรียนแลว
ในที่นี้ ก็คือ เกณฑทีใชวัดผลจากแบบฝกหัดหรือแบบทดสอบตาง ๆ ที่ใชในบทเรียน
6. พัฒนากลยุทธดานการเรียนการสอน (Develop
Instructional Strategy)
เปนการออกแบบและพัฒนารายละเอียดตาง ๆ
ของบทเรียน ใหสอดคลองตามวัตถุประสงคที่กําหนดไว รวมทั้งการพิจารณารูปแบบการนําเสนอบทเรียนดวย
เชน ระบบเรียนรูร วมกัน (Collaborative System) ระบบผูเรียนเปนศูนยกลาง
(Student-Centered System) หรือ ระบบผูสอนเปนผูนํา
(Instructor-led System) เปนตน ซึงผ่ ลลัพธของกลยุทธที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนนี้จะอยูในรูปของ บทดําเนินเรื่อง (Storyboard) ของบทเรียน
ประกอบดวยสวนตาง ๆ ดังนี้
6.1 การนําเสนอเน ื้อหาบทเรียน
6.2 กิจกรรมการเรียนการสอน
6.3 แบบฝกหัดและการตรวจปรับ
6.4 การทดสอบ
6.5 การติดตามผลกิจกรรมการเรียนการสอน
การออกแบบและพัฒนาคอรสแวรสําหรับบทเรียนคอมพิวเตอร
7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน
(Develop & Select Instructional Materials)
เปนขั้นตอนของการพัฒนาบทเรียนจากบทดําเนินเรื่องในขั้นตอนที่ผ่านมา
รวมทั้งการเลือกใช วัสดุการเรียนที่สอดคลองกับเนื้อหาและวัตถุประสงคของบทเรียน
ไดแก สื่อการเรียน ทั้งสื่อทีมี่อยู่เดิมหรือสื่อที่ต้องสรางสรรคขึ้นมาใหม
ผลลัพธที่ไดจากขั้นตอนนี้มีดังนี้
7.1 คูมือการใชบทเรียนของผูเรียนและผูสอน
7.2 บทเรียนที่พัฒนาขึ้น
ซึ่งอยูในรูปแบบตาง ๆ ดังนี้
7.2.1 ระบบสนับสนุนการกระทําดวยอิเล็กทรอนิกส
หรือ EPSS (Electronic Performance Support Systems)
7.2.2 บทเรียนสําหรับผูสอน
ในกรณีที่เปนระบบผูสอนเปนผูนํา
7.2.3 บทเรียนคอมพิวเตอรแบบใชงานโดยลําพัง
เชน CAI, CBT
7.2.4 บทเรียนคอมพิวเตอรแบบใชงานบนเครือขาย
เชน WBI, WBT
7.2.5 e-Learning
8. พัฒนาและดําเนินการประเมินผลระหวางดําเนินการ
(Develop & Conduct Formative Evaluation)
เปนการประเมินผลการดําเนินการของกระบวนการออกแบบบทเรียนทั้งหมด เพื่ออนําขอมูลที่ไดไปปรับปรุงบทเรียนใหมีคุณภาพดีขึ้น
ในขั้นตอนนี้ประกอบดวย 3 ขั้นตอนยอย ดังนี้
8.1 การประเมินผลแบบตัวตอตัว (One-to-One Evaluation)
8.2 การประเมินผลแบบกลุมยอย (Small-Group Evaluation) 8.3 การประเมินผลภาคสนาม (Field Evaluation)
9. พัฒนาและดําเนินการประเมินผลสรุป (Develop & Conduct Summative
Evaluation) เปนการประเมินผลสรุปเกี่ยวกับบทเรียนที่พัฒนาขึ้น
ไดแก การหาคุณภาพและประสิทธิภาพของ บทเรียน ซึ่งจําแนกออกเปน 2 ระยะ ดังนี้
9.1 การประเมินผลระยะสั้น (Short
Period Evaluation)
9.1 การประเมินผลระยะยาว (Long
Period Evaluation)
10. ปรับปรุงการเรียนการสอน (Revise Instruction)
เปนการปรับปรุงและแกไขบทเรียนที่ พัฒนาขึ้น ไดแก เนื้อหา การสื่อความหมาย การพัฒนากลยุทธการทดสอบ การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนและสวนประกอบตาง ๆ ขอบทเรียน โดยพิจารณาจากผลลัพธที่ได
ระบบการสอนของ Gerlach And Ely Model
การออกแบบระบบการสอน ประกอบดวย 10 ขั้นตอนดังนี้
1. รายละเอียดของเนื้อหา (Specification of Content)
เปนการพิจารณารายละเอียดของเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดที่จะนํามาสรางเปนบทเรียน
2. รายละเอียดของวัตถุประสงค(Specification
of Objectives)
เปนการพิจารณารายละเอียดของวัตถุประสงค ซึ่งทั้งวัตถุประสงคและเนื้อหาบทเรียนจะตองมีความสัมพันธและสอดคลองกัน
จึงอาจจะพิจารณาสวนใดสวนหนึ่งกอนก็ไดหรืออาจจะพิจารณาพรอม ๆ กันก็ได ถามีวัตถุประสงคอยูแลว
ก็จะเปนการพิจารณาความสอดคลองระหวางวัตถุประสงคกับเนื้อหา บทเรียน
แตถายังขาดสวนใดสวนหนึง่ ก็จะตองวิเคราะหขึ้นใหม
เพื่อใหวัตถุประสงคสัมพันธและ สอดคลองกับเนื้อหาบทเรียน เพื่อจะไดนําไปใชในขั้นตอไป ในสวนนี้เกอลาช แอนดเอลี ไดแบงวัตถุประสงคออกเปน 2 ชนิด ดังนี้
2.1 วัตถุประสงคระยะยาว (Long
Range Objective) หมายถึง วัตถุประสงคทั่วไป
2.2 วัตถุประสงคระยะสั้น (Short Range Objective) หมายถึง
วัตถุประสงคเฉพาะ
3. การประเมินพฤติกรรมของผูเรียน (Assessment
of Entering Behaviors)
หมายถึง กระบวนการประเมินความรูพื้นฐานของผูเรียนใหผานตามเกณฑขั้นต่ํ่าที่จะยอมรับไดกอนที่จะเขา สูกระบวนการเรียนรู
เพื่อนําไปใชในการวางแผนการเรียนการสอน การพิจารณาพฤติกรรมของ ผูเรียน
สามารถดําเนินการไดดังนี้
3.1 การใชบันทึกขอมูลที่มีอยู
(Use of Available Records) ไดแก หลักฐานทางการ ศึกษา
วุฒิบัตร ประกาศนียบัตร และเอกสารอื่น ๆ ที่อางอิงถึงความรูทักษะ
และประสบการณของ ผูเรียน
3.2 แบบทดสอบที่ผูสอนสรางขึน้ (Teacher-designed
Test) ไดแกแบบทดสอบ แบบประเมิน แบบสัมภาษณหรือ แบบสอบถาม
ที่ผู้สอนสรางขึ้น เพื่อใชประเมินความรูความสามารถ ของผูเรียนในประเด็นที่ตองการ เพื่อจะไดทราบเกี่ยวกับความรูพื้นฐานของผูเรียน
4. กําหนดกลยุทธและเทคนิคการสอน (Determination of Strategy and
Techniques)
เปนการกําหนดกลยุทธในการนําเสนอบทเรียน
รวมทั้งใชเทคนิคตาง ๆ ในการนําเสนอเพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูบรรลุตามวัตถุประสงคที่ตั้งไวแบงออกได 2 วิธีการใหญ ๆ ดังนี้
4.1 การบรรยาย (Expository Approach) เปนวิธีการสอนแบบดั้งเดิมที่ผู้อนมักจะใช ตํารา หนังสือ สื่อ และประสบการณ เชน
นําเสนอกับผูเรียนกลุมใหญ โดยการบรรยายหรือการ อภิปราย
โดยใชวิธีการบรรยายโดยตรงหรือใชวีดิทัศนถายทอดการบรรยายระยะไกล
4.2 วิธีการสืบเสาะแสวงหาความรู (Inquiry Approach) วิธีการน
ี้ บทบาทของผูสอนจะ ทําหนาที่เปนผู้ช่วยเหลือในการจัดประสบการณการเรียนรู
โดยการใชคําถามหรือสรางเงื่อนไขให ผูเรียนไดเสาะแสวงหาคําตอบในการแกปญหา
โดยใชตํารา หนังสือ สื่อ หรือแหลงความรูอื่น ๆ ผูเรียนจะตองพยายามรวบรวมและจัดระบบขอมูลดวยตัวเอง
(Active Participations) เพื่อใหไดมา ซึ่งขอสรุปที่นำไปใชในการเรียนการสอนได การออกแบบและพัฒนาคอรสแวรสําหรับบทเรียนคอมพิวเตอร
5. การจัดผูเรียนออกเปนกลุม (Organization of Students
into Groups)
เปนการจัดแบง ผูเรียนออกเปนกลุม ๆ ตามขนาดที่เหมาะสม
โดยการเรียนรวมกันเปนกลุมเล็ก ๆ หรือโดยการ บรรยายเปนกลุมใหญ
หรือจัดเปนรายบุคคลระหวางผูสอนกับผูเรียนเทานั้น ซึ่งควรจะพิจารณา วัตถุประสงคเนื้อหา
วิธีการเรียน และการจัดกลุมผูเรียนไปพรอม ๆ กัน
6. การกําหนดเวลา
(Allocation of Time)
เปนการกําหนดเวลาเรียนของบทเรียน โดย พิจารณาจากเนื้อหาวิชา
วัตถุประสงค กิจกรรมการเรียน การบริหาร ความสามารถ และความ สนใจของผูเรียน
เปนตน สิ่งเหลานี้จะนํามาใชในการพิจารณาแบงเวลาและกําหนดเวลาเรียนให เหมาะสม
7. การกําหนดสถานที่เรียน (Allocation of Space)
เปนการจัดสถานที่เรียน ซึ่งขึ้นอยูกับขนาดของกลุมผูเรียน
และวิธีการเรียนตามรูปแบบการสอนของ
เกอลาช แอนดเอลีไดแบงขนาด ของหองเรียนออกได 3 ขนาด ดังนี้
7.1 หองเรียนสําหรับผูเรียนกลุมใหญ
7.2 หองเรียนสําหรับผูเรียนกลุมเล็ก
7.3 หองเรียนสําหรับรายบุคคล
8. การเลือกแหลงขอมูล (Selection of Resources)
เปนการเลือกแหลงขอมูลที่ใชในบทเรียน ไดแก วัสดุการเรียน (Instructional
Materials) และวัสดุสนับสนุนกิจกรรมการเรียน เชน สื่อตาง ๆ
ทั้งที่มีอยูและสื่อที่สรางสรรคขึ้นมาใหม ซึ่งแบงออกเปน 5 ประเภทดังน ี้
8.1 วัสดุของจริงและบุคคล (Real
Materials and People)
8.2 วัสดุทัศนสําหรับฉาย (Visual
Materials for Projection)
8.3 วัสดุเสียง (Audio Materials)
8.4 วัสดุสิ่งพิมพ(Printed Materials)
8.5 วัสดุสําหรับแสดง
(Display Materials)
9. การประเมินผลการเรียนรู (Evaluation
of Performance)
ขั้นตอนนี้เปนการประเมินผล พฤติกรรมของผูเรียนที่เกิดจากปฏิสัมพันธระหวางผูสอนกับผูเรียน หรือ ระหวางผูเรียนกับผูเรียน คนอื่น
ๆ หรือระหวางผูเรียนกับบทเรียน เปนตน เพื่อสรุปการประเมินผลการเรียนรูตามวัตถุ
ประสงคที่กําหนดไว
10. การวิเคราะหขอมูลยอนกลับ (Analysis
of Feedback)
เปนการวิเคราะหผลที่ไดจาก การประเมินผลการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ผานมา รวมถึงการใชบทเรียนทั่ว ๆ ไป หลังจากนั้นจึงนํา ขอมูลที่ไดยอนกลับไปปรับปรุงแกไขบทเรียนตั้งแตขั้นตอนแรก
เพื่อใหบทเรียนมีคุณภาพดียิ่งขึ้น สามารถนําไปใชกับกลุ่มผูเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ
ระบบการสอนของ เคมพ์ (Jerrold/Kemp)
แบ่งขั้นตอนในการพิจารณาการจัดระบบการสอนเป็นสาระสำคัญ 10 ประการ คือ
1. ความต้องการในการเรียน จุดมุ่งหมายในการสอน สิ่งสำคัญ/ข้อจำกัด (Learner Needs, Goals, Priorities, Constraints) การประเมินความต้องการในการเรียน นับว่ามีส่วนสำคัญในการกำหนดจุดมุ่งหมายและโปรแกรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น กล่าวได้ว่าการประเมินความต้องการการกำหนดจุดมุ่งหมายและการเผชิญกับ ข้อจำกัดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญขั้นแรกในการเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบการสอนจึงจัดอยู่ในศูนย์กลาง ของระบบ และนับว่าเป็นพื้นฐานของข้อปลีกย่อยต่าง ๆ 9 ประการในกระบวนการออกแบบระบบการสอน2. หัวข้อเรื่อง ภารกิจ และจุดประสงค์ทั่วไป (topics-job tasks purposes) ในการสอนหรือโปรแกรมของการอบรมที่จัดขึ้นนั้นย่อมประกอบด้วยหัวข้อเรื่องของวิชาซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ และ/หรือหัวข้องานที่เป็นพื้นฐานทางทักษะด้านกายภาพ
3. ลักษณะของผู้เรียน (learner characteristics) เป็นการสำรวจเพื่อพิจารณาถึงภูมิหลังด้านสังคม การศึกษา และสภาพเศรษฐกิจของผู้เรียนแต่ละคน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจัดสภาพการเรียนรู้และวิธีการเรียนให้เหมาะสมตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียน
4. เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์ภารกิจ (subject content, task analysis) ในการวางแผนการสอน เนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง โดยที่ต้องมีการเรียบเรียงเนื้อหาตามลำดับขั้นตอนให้เหมาะสม และง่ายต่อความเข้าใจของผู้เรียน เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์งานนี้สามารถใช้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวัตถุประสงค์ หรือเพื่อจัดหาโสตทัศนูปกรณ์ และเพื่อเป็นการออกแบบเครื่องมือทดสอบเพื่อประเมินการเรียนก็ได้
5. วัตถุประสงค์ของการเรียน (learning objectives) เป็นการตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนว่าผู้เรียนควรรู้หรือสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อเรียนบทเรียนนั้นจบแล้ว นอกจากนั้นผู้เรียนจะต้องมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่สามารถวัด หรือสังเกตเห็นได้ วัตถุประสงค์นี้จึงต้องเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อเป็นการวางโครงร่างของการสอน นับว่าเป็นการช่วยในการวางแผนการสอนและการจัดลำดับเนื้อหาวิชา ตลอดจนเป็นแนวทางในการประเมินผลผู้เรียนและประสิทธิภาพของการเรียนการสอน
6. กิจกรรมการเรียนการสอน (teaching / learning activiies) ในการวางแผนและเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นผู้สอนควรจะคำนึงถึงแผนสำคัญ 3 อย่างคือ การสอนเนือ้หาในชั้นเรียนควรเป็นรูปแบบใด วิธีการเรียนของผู้เรียนควรเป็นอย่างไร และกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนควรมีอะไรบ้าง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น ควรมีการเสนอเนื้อหาการเรียนในชั้นแก่ผู้เรียนพร้อมกันในคราวเดียวทั้งหมด หรือควรให้เป็นการเรียนรายบุคคล หรือการสร้างเสริมประสบการณ์แก่ผู้เรียนนั้นควรจะใช้วิธีการอภิปรายหรือวิธีการทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นต้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมย่อมขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ต่างๆ หลายประการ นับตั้งแต่จุดมุ่งหมาย ลักษณะของผู้เรียน เนื้อหาวิชา และการวัดผล โดยที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนว่ามีขนาดเท่าใด เพื่อที่จะสามารถจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของวิชาและความสนใจของกลุ่ม นอกจากนั้นการเลือกวัสดุอุปกรณ์สื่อการสอนก็ต้องให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
7. ทรัพยากรในการสอน (instructional resources) ทรัพยากรในที่นี้หมายถึงสื่อการสอนที่จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปอย่างดี มีประสิทธิภาพ สื่อต่างๆ เหล่านี้สามารถแยกได้เป็น 6 ประเภทคือ ของจริง สื่อที่ไม่ใช้เครื่องฉาย เครื่องเสียง ภาพนิ่งที่ใช้กับเครื่องฉาย ภาพเคลื่อนไหวที่ใช้กับเครื่องฉาย และการใช้สื่อประสม ผู้สอนต้องเลือกสื่อมาใช้ให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียน และสถานการณ์การเรียนการสอนด้วย
8. บริการสนับสนุน (support services) บริการสนับสนุนรวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับงบประมาณของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งด้วยว่าจะมีงบประมาณในการจ้างบุคลากรและซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการศึกษามากน้อยเพียงใด บริการนี้รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาและวางแผนของนักวิชาการ การทดลองผลงาน การฝึกอบรม บริการสนับสนุนแบ่งได้เป็น 6 ประเภท คือ งบประมาณ สถานที่ สื่อวัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร และตารางที่เหมาะสมในการทำงาน
9. การประเมินผลการเรียน (learning evaluation) เป็นการประเมินผลว่าผู้เรียนนั้นได้รับความรู้ สามารถบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือไม่เพียงใด โดยการสร้างเครื่องมือทดสอบและวัดผล ทั้งนี้เพื่อเป็นการทราบข้อบกพร่องต่างๆ ของระบบการสอน และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขระบบการสอน
10.การทดสอบก่อนการเรียน (pretesting) เป็นการทดสอบก่อนว่าผู้เรียนมีประสบการณ์เดิม และพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนใหม่อย่างไรบ้าง หรือมีความรู้ความชำนาญอะไรบ้างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมาแล้ว การประเมินผลก่อนการเรียนเป็นเครื่องชี้ความพร้อมของผู้เรียนว่า ควรจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้างจากความรู้เก่าที่เคยเรียนมา
ในการใช้ระบบการสอนทั้ง 10 ขั้นตอนนี้ ผู้สอนสามารถจะเริ่มใช้ในขั้นตอนใดก่อนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับกัน และสามารถพัฒนาการสอนในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้การประเมินผล 2 ลักษณะคือ การประเมินผลในระหว่างดำเนินงานพัฒนาระบบการสอน (formative evaluation) และการประเมินผลรวบยอดหลังจากการใช้ระบบการสอนนั้นสิ้นสุดลง (summative evaluation) ทั้งนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการสอนให้ใช้ได้ดีและมีคุณภาพ
ที่มา : http://54540111onnicha.blogspot.com/2012/04/kemp-modeldick-and-carey.html
ระบบการสอนของ Klausmeier and Ripple Model
คลอสเมียร์ และริปเปิล (Klausmeier
and Ripple Model) ได้กำหนดองค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนไว้
7 ส่วน คือ
1. การกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน
2. การพิจารณาความพร้อมของผู้เรียน
3. การจัดเนื้อหาวิชา วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ
4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. การดำเนินการสอน
6. การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
7. สัมฤทธิผลของนักเรียน
องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนของคลอสเมียร์และริปเปิล แสดงดังภาพประกอบ
1. การกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน
2. การพิจารณาความพร้อมของผู้เรียน
3. การจัดเนื้อหาวิชา วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ
4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. การดำเนินการสอน
6. การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
7. สัมฤทธิผลของนักเรียน
องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนของคลอสเมียร์และริปเปิล แสดงดังภาพประกอบ
ภาพประกอบ
ระบบการเรียนการสอนของคลอสเมียร์และริปเปิล
ที่มา : http://jaidee95.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น