วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

สัปดาห์ที่ 7
Knowledge Management-KM (การจัดการความรู้)
         การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
         เป้าหมายของการจัดการความรู้ 4 ประการ
         1.บรรลุเป้าหมายของงาน
         2.บรรลุเป้าหมายการพัฒนา
         3.บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรการเรียนรู้
         4.บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน
ความรู้ มี 2 ประเภท 
          1) ความรู้ที่ฝังอยู่ในคนหรือความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
          2) ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

การจัดการความรูทั้ง  ๒ ประเภทนี้มีวิธีที่แตกตางกัน 
          การจัดการ ความรู้ที่ฝังอยู่ในคนหรือความรูเดนชัด” จะเนนไปที่การเขาถึงแหลงความรู ตรวจสอบและตีความได เมื่อนําไปใชแลวเกิดความรูใหมก็นํามาสรุปไวเพื่อใชอางอิงหรือใหผูอื่นเขาถึงไดตอไป (ดูวงจรทางซายในรูป)
          การจัดการ ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรูซอนเรน” นั้นจะเนนไปที่การจัดเวทีเพื่อใหมีการแบงปนความรูที่อยูในตัวผูปฏิบัติทําใหเกิดการเรียนรูรวมกันอันนําไปสูการสรางความรูใหมที่แตละคนสามารถนําไปใชในการปฏิบัติงานไดตอไป (ดูวงจรทางขวาในรูป)




กระบวนการจัดการเรียนรู้มี 7 กิจกรรมดังภาพ

           1.การบ่งชี้ความรู้ คือ การพิจารณาองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการบรรลุวิสัยทัศน์/พันธกิจ/เป้าหมายขององค์กร และพิจารณาว่าองค์กรมีองค์ความรู้นี้หรือยัง อยู่ในรูปแบบใด หรืออยู่ที่บุคคลใดความรู้อยู่ที่ใคร อยู่ในรูปแบบอะไร จะเอามาเก็บรวมกันได้อย่างไร
          2.การสร้างและแสวงหาความรู้ คือ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือแสวงหาความรู้จากภายนอก หากองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อองค์กรนั้นยังไม่มีหรือมีไม่เพียงพอ รวมถึงการรักษาความรู้เก่า และการกำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้ออกจากแหล่งรวมได้อย่างไร
          3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ คือ การวางโครงสร้างความรู้  เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคตจะทำให้เข้าใจง่ายและสมบูรณ์ได้อย่างไน
          4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้ คือ การปรับปรุงรูปแบบ เนื้อหาเอกสารหรือองค์ความรู้ให้เป็นสมบูรณ์ มีมาตรฐาน และใช้ภาษาเดียวกันเรานำความรู้มาใช้งานได้ง่ายหรือไม่
          5.การเข้าถึงความรู้ คือ การทำให้ผู้ใช้ความรู้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ที่ต้องการได้ง่ายสะดวก โดยอาจใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board หรือบอร์ดประชาสัมพันธ์มาช่วยเพื่ออำนวยความสะดวกมีการแบ่งบันความรู้ให้กันหรือไม่
          6.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ คือ การนำความรู้เข้าสู่เวทีแลกเปลี่ยน ทำได้หลายวิธีกรณีเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งอาจจัดทำเป็น เอกสาร ฐานความรู้ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ
          7.การเรียนรู้ คือ การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ แก้ปัญหาและปรับปรุงองค์กร

ที่มา : http://www.thaiall.com/km/indexo.html
        http://network.moph.go.th/km_ict/?p=392


สรุป
Knowledge Management(KM) หรือ การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้บุคลากรทุกคน สามารถเข้าถึงความรู้ พัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ และนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานและพัฒนางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการพัฒนาฐานความรู้ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง


นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ประเภทเทคนิควิธีการ หรือกิจกรรม เช่น การให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
          

          การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง โดยการสร้างสื่อการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้นำไปศึกษา เช่น ห้องเรียนกลับด้าน

ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 
          ห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flipped Classroom เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นจากประสบการณ์การสอนในชั้นเรียนของ Jonathan Bergmann และ Aaron Sams ซึ่งพวกเขาเป็นครูวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกาครู 2 ท่านนี้ได้พบว่าการเรียนของนักเรียนหลาย ๆ คนไม่สามารถเข้ามาเรียนในชั้นเรียนได้ตามเวลาอันเนื่องมาจากสาเหตุหลาย ๆ ประการ เช่น นักเรียนที่เป็นนักกีฬา นักเรียนที่ต้องทำงานนอกเวลา หรือแม้กระทั้งเนื้อหาวิชาที่ใช้เวลาในการทำความเข้าใจมาก ๆ จนไม่สามารถจัดได้หมดในชั่วโมงเรียนดังนั้น Jonathan และ Aaron จึงมีแนวคิดจาก              
          1. พิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่มีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้กับนักเรียน และนักเรียนสามารถนำขึ้นมาเรียนได้ขณะเดินทาง เช่น คอมพิวเตอร์,แท็บเล็ตสมาร์ทโฟน
          2. โดยมีกิจกรรมต่างๆ เป็นตัวเชื่อม เช่น อีเมล์จากนักเรียนที่มีข้อสงสัย , อีเมล์จากครูผู้สอนตั้งคำถามไปยังนักเรียนบทความหรือเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่อยู่บนเว็บไซด์

เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน
          เป็นการนำสิ่งที่เดิมเคยทำในชั้นเรียนไปทำที่บ้าน และนำสิ่งที่เคยถูกมอบหมายให้ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนแทน ด้าน ครูจะแจกสื่อให้เด็กไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน หรืออาจให้เด็กไปดูสื่ออย่างยูทูบ เมื่อมาเข้าชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยมีครูคอยให้คำแนะนำตอบข้อสงสัย


ที่มา : Tanakorn Chaiyasit

ความแตกต่างจากการสอนแบบเดิมกับการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน

แบบเดิม                                          แบบห้องเรียนกลับด้าน
มุมมองของนักเรียน                                มุมมองของนักเรียน
-ตามไม่ทัน                                          -มีเวลามากพอที่จะดูวีดีโอ
-ไม่เข้าใจก็ไม่กล้าถาม                              -ปรึกษากับเพื่อนหรือดูครูออนไลน์ได้
-ครูไม่มีช่องว่างให้ถาม                             -ไม่มีการบ้าน ไม่ต้องลอกการบ้าน
-เนื้อหาเยอะและมีเวลาที่จำกัด                   -ทำการบ้าน(กิจกรรม)ในห้องเรียนก็ไม่เครียด
-เมื่อกลับมาบ้านทำการบ้านไม่ได้                  มีครู มีเพื่อน ให้คำปรึกษาตลอดเวลา
 เลยต้องลอกเพื่อนตลอด                          -ได้ลงมือปฏิบัติ

แบบเดิม                                                แบบห้องเรียนกลับด้าน
มุมมองของครู                                            มุมมองของครู
-สอนเหมือนปกติ อัดเนื้อหาอย่างเดียว               -ค่อนข้างหนัก
 มีเวลาน้อย                                               -ต้องเตรียมอัดวีดีโอการสอนล่วงหน้า
-มองดูเด็ก ๆ ในห้องเรียน ก้ไม่มีใครสงสัย            -กลางคืนก็คอยให้คำปรึกษาออนไลน์
-การบ้านที่ส่งมาก็ทำได้เหมือนกันหมด               -ต้องมีเวลาออกแบบและจัดเตรียม
 ตรวจง่าย                                                  กิจกรรมให้สอดคล้องกับเนื้อหา
-วัดความรู้ตอนสอบ                                     -ครูต้องทบทวนความรู้พื้นฐานและเตรียม
                                                              พร้อมสำหรับให้คำแนะนำเด็ก ๆ      

ที่มา : http://phd.mbuisc.ac.th/academic/flipped%20classroom2.pdf


สรุป
        ห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flipped Classroom คือ "learn at home,Homework at classroom" (เรียนที่บ้าน ทำการบ้านทำการบ้านที่โรงเรียน) 
        การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ช่วงเวลาของการบรรยายเนื้อหา ในห้องเรียนเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ครูมีเวลาชี้แนะและช่วยนักเรียนสร้างสรรค์แนวคิด แก้โจทย์ปัญหา และประยุกต์ใช้จริง หลักในการจัดการเรียนการสอนจะเป็นการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา บวกกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียน ผู้เรียนสามารถศึกษาก่อนเรียนได้ และใช้เวลาในห้องเรียนทำกิจกรรมที่ครูออกแบบไว้ และห้องเรียนกลับด้าน เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เข้าใกล้การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมากขึ้น 

การวิจัยในชั้นเรียน
(Classroom Action Research: CAR)
การวิจัย (Research) 
          หมายถึง กระบวนการค้นคว้าหาข้อมูล หาคำตอบ การแก้ปัญหา โดยวิธีการที่เป็นระบบ หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีการที่เชื่อถือได้

การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research)

          การวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญต่อวงการวิชาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากครูจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน การจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น การพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียน การเพิ่มสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทดั้งเดิมของครูที่มีความเชี่ยวชาญ และสนใจเรื่องการสอนโดยเน้นเนื้อหาสาระของบทเรียน จึงทุ่มเทการศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูล ทฤษฎี ที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร มากกว่าการศึกษาวิธีการพัฒนาปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลงานของครูอาจารย์ส่วนใหญ่จึงเป็นผลงานหนังสือ ตำรา บทความหรือเอกสารทางวิชาการมากกว่าผลงานวิจัย

หลักการของการวิจัยในชั้นเรียน
         การวิจัยในชั้นเรียน มีหลักและวิธีการที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจดังนี้
          1. งานวิจัยเป็นงานเสริมงานหลัก โดยงานหลักคือการสอนของผู้สอน เพราะงานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะต้องเกิดควบคู่กับการเรียนการสอนเสมอ
          2. เป็นการทำวิจัยตามสภาพความจริง ปัญหาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และต้องการแก้ไข
          3. เป็นการสอดแทรกให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ 
          4. งานวิจัยที่ทำนี้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาการเรียนรู้ของมนุษย์ ผู้ทำต้องนึกถึงประโยชน์หรือคุณค่าต่อผู้เรียนเป็นสำคัญ
          5. การทำวิจัยเป็นสิ่งที่ตระหนักรู้ โดยอาจารย์ผู้สอนเอง ด้วยความรู้สึกห่วงใยต่อนักศึกษา ปรารถนาที่จะแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน 
          6. สิ่งสำคัญประการสุดท้าย และเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน คือ งานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะสำเร็จมิใช่อยู่ที่ความคิดอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การลงมือทำ สุดท้ายอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน คุณภาพการเรียนการสอนที่ต่อเนื่องจะเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าขาดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ขาดการดำเนินการโดยใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดความคิดในการพัฒนาการเรียนการสอนของครู อาจารย์เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมขึ้น และเป็นการดำเนินการเชิงวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยพัฒนาการเรียนการสอนของครู อาจารย์อย่างแท้จริง ซึ่งผลก็คือ คุณภาพของผู้เรียนนั่นเอง

 กระบวนการขั้นตอนการทำวิจัยในชั้นเรียน
           กระบวนการขั้นตอนในการทำวิจัยในชั้นเรียน มี ส่วน  คือส่วนของขั้นตอนการวิจัย   ส่วนของการออกแบบการวิจัยและองค์ประกอบของรายงานการวิจัย  และส่วนของการรายงานการวิจัยนี้ต่อผลงานของครูผู้สอนและโดยกระบวนการวิจัยในชั้นเรียนในชั้นเรียนสามารถทำได้หลายวิธีการ ซึ่งทุกวิธีการล้วนอยู่บนพื้นฐานกระบวนการ ซึ่งจะขอนำเสนอตามลำดับดังนี้
1.ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 
         ขั้นตอนเฉพาะของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เป็น 7 ขั้น ดังนี้  
          1.1 กำหนดปัญหา -ประเด็นปัญหา
          1.2 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น -บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหา
          1.3 วางแผนปฏิบัติ -กำหนดทางเลือกหลากหลาย
          1.4 ปฏิบัติตามแผน
          1.5 สังเกตผล
          1.6 สรุปผล
          1.7 สะท้อนผล 
2.การออกแบบการวิจัยของครู การออกแบบการวิจัยของครู จำแนกได้ 3 กลุ่ม ใหญ่ คือ 
         2.วิจัยเพื่อทำความเข้าใจปัญหา สถานการณ์ ข้อเท็จจริง การวิจัยลักษณะนี้เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในระดับชั้นเรียน เช่น ข้อมูลส่วนตัว ความคิดเห็น ความรู้สึกผู้เรียน หรืออธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปรบางตัวที่สนใจ ตัวอย่างเช่น ความฉลาดทางอารมณ์กับความรับผิดชอบ 
         2.2 การวิจัยเชิงทดลองเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา เช่น การวิจัยพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทวิธีการสอน และสื่อต่าง ๆ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่การวจัยเชิงวิชาการในลักษณะการวิจัยและพัฒนาได้ (Research and Development)
         2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) ดำเนินการโดยครูเพื่อแก้ปัญหาในกระบวนการปฏิบัติ (การสอน) ซึ่งต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อนำผลไปใช้ทันที มีการดำเนินการเป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน คือ วางแผน (Plan) นำแผนไปปฏิบัติ (Act) สังเกต/เก็บข้อมูล (Observe) และสะท้อนกลับเพื่อปรับปรุง (Reflect) และทำซ้ำขั้นตอนแรก จนกว่าการแก้ปัญหาจะบรรลุผลสำเร็จ มีข้อสังเกตการวิจัยในกลุ่มนี้พบว่า สอดคล้องกับกระบวนการปฏิบัติงานของครูมากที่สุด
1.ขั้นวางแผน (Plan)
         การวางแผนการวิจัยปฏิบัติการ  จะเกิดขึ้นหลังจกาการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน  ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งคำถามวิจัย โดยขั้นวางแผนประกอบด้วย  การวางแผนกิจกรรม  การวางแผนวิธีการหรือเครื่องมือที่จะใช้พัฒนา  แหล่งข้อมูลที่ต้องการ  ผู้รับผิดชอบกิจกรรมและระยะเวลาที่จะปฏิบัติ
2.ขั้นปฏิบัติการ (Act)
         เป็นการนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติจริง
3.ขั้นสังเกต/เก็บข้อมูล (Observe)
         เป็นขั้นตอนของการแสดงวิธีการสังเกตหรือเก็บข้อมูล และประเมินผลการปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้
4.ขั้นสะท้อนกลับเพื่อปรับปรุง (Reflect)
         เป็นขั้นตอนของการตีความหมายของข้อมูลหรือแปลความหมายของผลการวิเคราะห์ผลจะกระทำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันอภิปรายที่เกิดขึ้นร่วมกัน
3.การเขียนรายงานการวิจัย 
          รายงานการวิจัยเป็นการนำเสนอความรู้ ข้อค้นพบออกสู่สาธารณชน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างแล้ว ยังแสดงถึงความรู้ความสามารถเชิงวิชาการของครู โดยทั่วไปพบว่า มีการเขียน 2 รูปแบบ คือ
         3.1 รายงานวิจัยแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งเหมาะกับครูนักวิจัยในระยะเริ่มต้นที่ยังมีทักษะในการวิจัยไม่มาก มุ่งเสนอข้อค้นพบตามสภาพจริงที่เกิดขึ้น มากกว่าการยึดรูปแบบการเขียนรายงานวิจัยที่เป็นสากล ไม่เน้นคำศัพท์ทางวิชาการ ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ตัวแปรในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล และผลการวิจัย
         3.2  รายงานวิจัยแบบเป็นทางการ มีลักษณะเหมือนรายงานวิจัยเชิงวิชาการทั่ว ๆ ไป ที่ใช้กันในหมู่นักวิจัย มักนำเสนอในรูป 5 บท คือ

                บทที่ 1  บทนำ

                                           -    ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย

                                           -    วัตถุประสงค์การวิจัย

                                           -    ขอบเขตการวิจัย

                                                 -  กลุ่มประชากร/กลุ่มตัวอย่าง

                                                 -  เนื้อหา

                                                 -  ตัวแปร

                                                 -  ระยะเวลา

                                           -    ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

                         บทที่  2  เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย

                                           -    แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

                                           -    กรอบแนวคิดในการวิจัย

                         บทที่ 3  วิธีดำเนินการวิจัย

                                           -    รูปแบบการวิจัย

                                           -    ขั้นตอนการดำเนินการ

                                           -    เครื่องมือการวิจัย

                                           -    การเก็บรวบรวมข้อมูล

                                           -    วิธีวิเคราะห์ข้อมูล

                         บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

                         บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

                                           -    สรุปผลการวิจัย

                                           -    อภิปรายผลการวิจัย

                                           -    ข้อเสนอแนะ

                         บรรณานุกรม

                         ภาคผนวก

         โดยกรอบของการเขียนรายงานการวิจัยนี้นี้จะเห็นได้ว่าคล้ายคลึงกับการเขียนรายงานการวิจัยในเชิงวิชาการทั่วไป  โดยมีองค์ประกอบหลักจำนวน  5  บท  แต่ความแตกต่างของการวิจัยในชั้นเรียนนั้นจะอยู่ที่เป้าหมายของการวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น  

สรุป
        การวิจัยในชั้นเรียน คือการที่ครู ทำการแก้ปัญหานักเรียนบางคนที่อ่อนบางเรื่อง เพื่อให้เรียนทันเพื่อน  หรือพัฒนานักเรียนบางคนที่เก่งในบางเรื่องเพื่อให้ถึงศักยภาพสูงสุดของเขา  การวิจัยทำเพื่อพัฒนาผู้เรียน  ไม่ใช่เพื่อขอผลงานของผู้ทำวิจัย แต่เป็นการพัฒนาผู้เรียนโดยการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนที่เรียนอ่อนให้สามารถเรียนทันเพื่อน หรือเป็นการเสริมให้ผู้เรียนที่เรียนเก่งอยู่แล้วให้เก่งตามศักยภาพของเขา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น